เมนู

สังขารชายนปัญหา ที่ 4


ราชา

สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺเต
นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา สังขารธรรมสิ่งไรที่มีแล้วและเกิดขึ้นอีกนั้น
พระนาคเสนองค์อรหันต์ท่านจึงวิสัชนาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราช-
สมภาร สังขารที่มีอยู่แล้วเกิดขึ้นอีกนั้นได้แก่จักขุกับรูป รูปมีแล้วจักขุวิญญาณก็บังเกิดขึ้น เมื่อ
จักขุวิญญาณมีแล้วจักขุผัสสะก็บังเกิดขึ้น เมื่อจักขุผัสสะมีแล้วเวทนาก็บังเกิดขึ้น เมื่อเวทนา
บังเกิดแล้วตัณหาก็บังเกิดขึ้นเมื่อตัณหามีแล้วอุปทานก็บังเกิด เมื่ออุปาทานมีแล้วภวะก็บังเกิด
เมื่อภวะมีแล้วชาติก็บังเกิด เมื่อชาติมีแล้ว ชราและมรณะและโสกปริเทวนาการอาลัยไห้สะอื้นก็
บังเกิด ทุกฺขกฺขนฺสฺส สมุทโย กองทุกข์ทั้งปวงนั้นก็มีขึ้นสิ้น ขอถวายพระพร
ฝ่ายว่าพระนาคเสนพยากรณ์แก้ไขด้วยจักขุดังพรรณนามานี้แล้ว จึงแก้ไขด้วยโสตะ
และสัททะ แก้ไขด้วยคันธะกับฆานะด้วยชิวหากับรส แก้ไขด้วยกายกับโผฏฐัพพะ มีนัยเหมือน
จักขุกับรูปนั้นแล้ว ก็วิสัชนาด้วยมโนกับธรรมอันอาศัยกันแล้วบังเกิด ก็มีนัยเหมือนกันกับจักขุ
กับรูปนั้น เป็นที่จะก่อทุกข์ทั้งสิ้นให้บังเกิดมี ให้สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีทรงฟัง
ฉะนี้แล้ว
พระนาคเสนผู้เป็นเจ้าสำแดงซึ่งพระนิโรธต่อไปดังนี้ว่า มหาราช ขอถวายพระ
พรบพิตรพระราชสมภารมหิศราธิบดี อันว่าสังขารคือจักขุไม่มี รูปไม่มี รูปกับจักขุอาศัยแก่กัน
ไม่มีแล้ว จักขุวิญญาณที่จะรู้ด้วยจักขุว่า รูปอันนั้นอันนี้ก็มิได้เกิด เมื่อจักขุวิญญาณมิได้มีแล้ว
จักขุสัมผัสคือกระทบจักขุให้เกิดเวทนาเสวยอารมณ์เป็นโสมนัสเป็นโทมนัสก็มิได้เกิด เมื่อจักขุ
สัมผัสไม่มีแล้ว เวทนาเสวยอารมณ์คือรูปารมณ์เป็นโสมนัสอุเบกขาก็ไม่เกิด เมื่อเวทนา
ไม่มีแล้ว ตัณหาความปรารถนาก็ไม่เกิด เมื่อตัณหาไม่มีแล้ว อุปาทานคือถือมั่นในความปรารถ-
นานั้นก็ไม่เกิด เมื่ออุปาทานไม่มีแล้ว ภวะคือจะให้ไปเกิดในภพทั้ง 3 คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ
นั้นก็มิได้เกิด เมื่อเกิดในภพทั้ง 3 ไม่มีแล้ว ชาติที่จะเกิดในอบายภูมิทั้ง 4 เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดียรฉาน และเกิดเป็นมนุษย์เทวดา เป็นรูปพรหม เป็นพรหมหารูปมิได้
และชาติจะเกิดไปดังนี้ก็มิได้เกิด เมื่อชาติมิได้มีแล้ว จะได้มีชราและมรณะหามิได้ ไม่มีแก่ไม่มีตาย
อนึ่งปริเทวนาคือจะฟูมฟายน้ำตาโศกโศกา และอุปายาสอันสะอื้นไห้อาลัยหา ด้วยสิ่งอันมาวิโยค
พลัดพรากตายจากกันก็บห่อนมีดังนี้แล เรียกว่าทุกขักขันธนิโรธ ดับเสียซึ่งกองทุกข์ทั้งปวง
ขอถวายพระพร

ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากร ได้ทรงฟังก็สโมสรโสมนัสปรีดา มีพระราช-
โองการตรัสว่า กลฺโลสิ สธุสะ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาปัญหานี้โยมสิ้นสงสัยในกาลบัดนี้
สังขารชายนปัญหา คำรบ 4 จบเท่านี้

ภวันตานัง สังขารานัง ชานนปัญหา ที่ 5


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมิทราธิบดี มีพระราชโองการถามอรรถปัญหาอื่นอีกเล่า
ว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า เกจิ สงฺขารา อันว่าสังขารธรรมบางเหล่าที่
มิได้มี และสังขารบางเหล่าที่มิได้มีนั้น ชายนฺติ ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างนี้มีบ้างหรือหามิได้
พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า ขอถวายพระพร มีอยู่
เออ โยมจะใคร่รู้ว่า อย่างไรกระนั้น พระผู้เป็นเจ้า
อ้อ ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร ปานประดุจราชฐานไม่มี มหาบพิตรจะ
สถิตนั่งที่ไหน
พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์จึงตรัสว่า ถ้าหาราชฐานไม่ โยมก็ไม่มีที่นั่งนั่นแหละซิ
ผู้เป็นเจ้า
พระนาคเสนจึงเปรียบว่า ประการหนึ่ง ธรรมดาว่าไม้ก็เกิดในป่า มตฺติกา ดินเล่าก็มีอยู่
กับปฐพี คนทั้งหลายนี้จึงขุดเอาดินมาทำเป็นพื้นราชฐาน จึงเอาไม้ในป่ามาทำเป็นเสาเป็นฝา
เป็นหลังคาราชฐาน ก็ปูกระดานพื้นที่รื่บราบเป็นอันดี เดิมนิเวศน์สถานยังไม่มี ก็มีขึ้นด้วย
คนกระทำฉันใด ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร สังขารบางเหล่าที่ไม่มีก็มีขึ้นเหมือน
ินิเวศน์สถานอันมิได้มีแล้วคนกระทำให้มีขึ้นนั้น
พระเจ้ากรุงมิลินท์ผู้เป็นปิ่นมไหศวรรย์ จึงมีพระราชโองการตรัสว่า นิมนต์พระผู้เป็น
เจ้ากระทำอุปมาให้ยิ่งกว่านี้
พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาอุปมาต่อไปว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราช-
สมภาร ปานประหนึ่งว่าพืชทั้งหลายอันงอกขึ้นในแผ่นดินเดิมนั้นน้อย ครั้นต่อมาก็โตใหญ่เป็น
ใบเป็นดอกออกผลเป็นต้นใหญ่ ครั้นต่อมาก็ตายไปไม่มี ครั้นต่อมากลับมีขึ้น ฉันใดก็ดี สัง